วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

สเตนเลสคืออะไร


สเตนเลสคืออะไร
 
สเตนเลส (สแตนเลส) หรือตามศัพท์บัญญัติเรียกว่า เหล็กกล้าไร้สนิม เป็นเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำ(น้อยกว่า 2%)ของน้ำหนัก มีส่วนผสมของโครเมียม อย่างน้อย 10.5% กำเนิดขึ้นในปี พ.ศ.1903 เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า การเติมนิเกิล โมบิดินัม ไททาเนียม ไนโอเนียม หรือโลหะอื่นแตกต่างกันไปตามชนิด ของคุณสมบัติเชิงกล และการใช้ลงในเหล็กกล้าธรรมดา ทำให้เหล็กกล้ามีความต้านทานการเกิดสนิมได้



ประเภทของสเตนเลส
 

สเตนเลส สตีล แบ่งออกเป็น 5 ชนิดหลัก
 

เกรด ออสเตนิติก (Austenitic) แม่เหล็ดดูดไม่ติด นอกจากส่วนผสมของโครเมียม 18%แล้ว ยังมีนิเกิลที่ช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนอีกด้วย ชนิดออสเตนิติกเป็นที่นิยมใช้อย่างกว้างขวางมากที่สุด ในบรรดาสเตนเลสด้วยกัน ส่วนออสเตนิติกที่มีโครเมียมผสมอยู่สูง 20% ถึง 25% และนิกเกิล 1%ถึง 20% จะสามารถทนการเกิดออกซิไดซ์ได้ที่อุณหภูมิสูง ซึ่งใช้ในส่วนประกอบของเตาหลอม ท่อนำความร้อน และแผ่นกันความาร้อนในเครื่องยนต์ จะเรียกว่า เหล็กกล้าไร้สนิม ชนิดทนความร้อน (Heat Resisting Steel)
เกรดเฟอร์ริติก (Ferritic) แม่เหล็กดูดติด มีส่วนผสมของคาร์บอนต่ำ และมีโครเมียมเป็นส่วนผสมหลัก คือประมาณ 13% หรือ 17%
เกรดมาร์เทนซิติก (Martensitic) แม่เหล็กดูดติด โดยทั่วไปจะมีโครเมียมผสมอยู่ 12%และมีส่วนผสมของคาร์บอนในระดับปานกลาง มักนำไปใช้ทำส้อม มีด เครื่องมือตัด และเครื่องมือวิศวกรอื่นๆ ซึ่งต้องการคุณสมบัติเด่นในด้าน การต้านทานการสึกกร่อน และ ความแข็งแรงทนทาน
เกรดดูเพล็กซ์ (Duplex) แม่เหล็กดูดติด มีโครงสร้างผสมระหว่างเฟอร์ไรต์และออสเตไนต์ มีโครเมียมผสมอยู่ประมาณ 18-28% และนิเกิล 4.5-8% เหล็กชนิดนี้มักถูกนำไปใช้งานที่มีคลอรีนสูงเพื่อป้องกันมิให้เกิดการกัดกร่อนแบบรูเข็ม (Pitting corrosion) และช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อน ที่เป็นรอยร้าวอันเนื่องมาจากแรงกดดัน (Stress corrosion cracking resistance) เหล็กกล้าชุบแข็งแบบตกผลึก (Precipitation Hardening Steel) มีโครเมียมผสมอยู่ 17 % และมีนิเกิล ทองแดง และไนโอเบียมผสมอยู่ด้วย เนื่องจากเหล็กชนิดนี้สามารถชุบแข็งได้ในคราวเดียว จึงเหมาะสำหรับทำแกน ปั้ม หัววาล์ว และส่วนประกอบของอากาศยาน สเตนเลส สตีล ที่นิยมใช้ทั่วไปคือ ออสเตนิก และเฟอร์ริติก ซึ่งคิดเป็น 95%ของเหล็กกล้าไร้สนิม ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

คุณสมบัติทั่วไป และคุณสมบัติทางกายภาพ

คุณสมบัติทางกายภาพของสเตนเลส เมื่อเปรียบเทียบกับวัสดุประเภทอื่น ค่าที่แสดงในตารางที่1 เป็นเพียงค่าประมาณ เนื่องจากการเปรียบเทียบทำได้ยาก ค่าความหนาแน่นสูงของสเตนเลสแตกต่างจากวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของคุณสมบัติเกี่ยวกับความร้อนความสามารถ ทนความร้อนของสเตนเลส มีข้อสังเกต 3 ประการคือ
  • การที่มีจุดหลอมเหลวสูง ทำให้มีอัตราความคืบดี เมื่อเทียบกับเซรามิกที่อุณหภูมิต่ำกว่า 1000 องศา C
  • การที่มีค่านำความร้อนระดับปานกลาง ทำให้สเตนเลสเหมาะที่จะใช้ในงานที่ต้องทนความร้อน (คอนเทนเนอร์) หรือต้องการคุณสมบัตินำความร้อนได้ดี (เครื่องถ่ายความร้อน)
  • การมีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวระดับปานกลาง จึงสามารถใช้ความยาวมากๆได้ โดยใช้ตัวเชื่อมน้อย (เช่น ในการทำหลังคา)  
การนำไปใช้งาน


คุณสมบัติเขิงกล
 

สเตนเลสโดยทั่วไปจะมีส่วนผสมของเหล็กประมาณ 70-80% จึงทำให้มีคุณสมบัติของเหล็กที่สำคัญ 2 ประการคือ ความแข็งและความแกร่ง ในตารางที่ 2นี้ เป็นการเปรียบเทียบคุณสมบัติเชิงกลกับวัสดุชนิดอื่น จะเห็นได้ว่าพลาสติกซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางมีความแข็งแรง และโมดูลัส ความยืดหยุ่นต่ำ ส่วนเซรามิกมีความแข็งแรงและความเหนียวสูงแต่มีความแกร่งหรือความสามารถรับแรงกระแทกโดยไม่แตกหักต่ำ สเตนเลสให้ค่า ที่เป็นกลางของทั้งความแข็ง ความแกร่ง และความเหนียว เรนื่องจากมีส่วนผสมของธาตุเหล็กอยุ่มาก และจะมีเพิ่มขึ้นอีกในชนิดออสเตนิติก และตารางที่ 3 จะแสดงให้เห็นค่าความแข็งแรงสูงสุด (Ultimate Tensile Strength) ของสเตนเลส ไม่ว่าจะชนิดที่อ่อนตัวง่าย ซึ่งสามารถทำให้ขึ้นรูปเย็นได้ดี เช่น การขึ้นรูปลึก (Deep Drawing) จนถึงชนิดความแข็งแรงสูงสุด ซึ่งได้จากการขึ้นรูปเย็นหรือการทำให้เย็นตัวโดยเร็ว (Quenching) หรือชนิดชุบแข็ง แบบตกผลึก (Preciptation Hardening) ซึ่งเหมาะใช้ทำสปริง

คุณสมบัติของสเตนเลส

สเตนเลสต่างชนิดกันที่มีโครงสร้างต่างกัน จะมีลักษณะค่าความแข็งแรงที่เปลี่ยนแปลงแตกต่างกันดังในรูปจะแสดงให้เห็น แนวโค้งของค่าความแข็งแรง โดยทั่วไปของเกรดสเตนเลส 4ชนิด
  • เกรดมาร์เทนซิติก มีค่าความจำนนความแข็งแรง (Yield Strength : YS) และค่าความแข็งแรงสูงสุด (Ultimate Tensile Strenght : UTS) สูงมากในสภาพที่ผ่านกระบวนการอบชุบ แต่จะมีค่าการยืดตัว (Elongation : EL %) ต่ำ
  • เกรดเฟอร์ริติก มีค่าความจำนนความแข็งแรง และค่าความแข็งแรงสูงสุดปานกลาง เมื่อรวมกับค่าความยืดตัวสูง จึงทำให้สามารถขึ้นรูปได้ดี
  • เกรดออสเตนิติก มีค่าความจำนนความแข็งแรงใกล้เคียงกับชนิดเฟอร์ริติก แต่มีค่าความแข็งแรงสูงสุดและความยืดตัวสูง จึงสามารถขึ้นรูปได้ดีมาก
  • เกรดดูเพล็กซ์ (ออสเตไนท์ - เฟอร์ไรต์) มีค่าความจำนนความแข็งแรง และค่าความยืดตัวสูงจึงเรียกได้ว่า เหล็กชนิดนี้มีทั้งความแข็งแรง และความเหนียว (Ductility) ที่สูงเป็นเลิศ
คาวมต้านทานการกัดกร่อน

เหตุใด? สเตนเลสจึงทนต่อการกัดกร่อนได้ โลหะทุกชนิดทั่วไปจะทำปฎิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ เกิดเป็นฟิล์มออกไซต์บนผิวโลหะ หรือออกไซต์ ที่เกิดบนผิวเหล็กทั่วไป จะทำปฎิกิริยาออกซิไดซ์ และทำให้เกิดสภาพพื้นผิวเหล็กผุกร่อน ที่เราเรียกว่า เป็นสนิม แต่สเตนเลสมีโครเมียมผสมอยู่ 10.5% ขึ้นไป ทำให้คุณสมบัติของฟิล์มออกไซต์บนพื้นผิวเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นฟิล์มปกป้อง หรือพลาสซิฟเลเยอร์ (Passive Layer) ที่เหมือนเกราะป้องกัน การกัดกร่อน ซึ่งปรากฎการณ์นี้เรียกว่า พาสซิวิตี้ (Passivity) ฟิล์มปกป้องนี้จะมีขนาดบางมาก (สำหรับแผ่นสเตนเลสบางขนาด 1 มม. ฟิล์มหรือพาสซีฟ เลเยอร์นี้ จะมีความบางเทียบเท่ากับวางกระดาษ 1 แผ่น บนตึกสูง 20 ชั้น) และมองตาเปล่าไม่เห็นฟิล์มนี้จะเกาะติดแน่น และทำหน้าที่ปกป้องสเตนเลส จากการกัดกร่อนทั้งมวล หากนำไปผลิตแปรรูปหรือใช้งานในสภาพเหมาะสม เมื่อเกิดมีการขีดข่วน ฟิล์มปกป้องนี้จะสร้างขึ้นใหม่ได้เองตลอดเวลาความคงทนของพาสซีสเลเยอร์ เป็นปัจจัยหลักของความต้านทานการกัดกร่อนของสเตนเลส นอกจากนี้ ยังขึ้นอยู่กับสภาพการกัดกร่อนอันได้แก่ ความรุนแรง ของปฏิกิริยาออกซิไดซ์ ความเป็นกรดปริมาณสารละลายคลอไรต์ และอุณหภูมิ โดยทั่วไปแล้วการเพิ่มปริมาณ โครเมียมจะช่วยเพิ่มความ ต้านทาน การกัดกร่อนของสเตนเลส การเติมนิเกิลจะช่วยเพิ่มความต้านทานการกัดกร่อนโดยทั่วไป ให้ทนสภาวะกัดกร่อนรุนแรงได้ ส่วนโมลิบดินัมจะช่วยเพิ่ม ความต้านทานการกัดกร่อนเฉพาะที่ เช่น การกัดกร่อนแบบรูเข็ม (Pitting Corrosion)ในทางปฏิบัติ สเตนเลสชนิดเฟอร์ริติก มีการใช้งานจำกัดในสภาพการกัดกร่อนปานกลางและในสภาพชนบท ทั้งชนิดเฟอร์ริติกและออสเตนิติก สามารถใช้ทำ อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนได้แต่เนื่องจากชนิดออสเตนิติกสามารถทนการกัดกร่อนได้ดี และทำความสะอาดง่าย จึงนิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่ม นอกจากนี้ชนิดออสเตนิติกยังทนการกัดกร่อนจากสารเคมีหลายประเภทได้แก่ กรด, อัลคาลายด์ เป็นต้น ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย ในอุตสาหกรรมเคมี และกระบวนการผลิตต่าง ๆ

ผลิตภัณท์ทำความสะอาดโดยทั่วไป

ผลิตภัณฑ์
ตัวอย่าง
การใช้และข้อควรระวัง
ผงซักฟอก
ผงซักฟอก และสบู่ที่ใช้ในบ้าน
น้ำยาทำความสะอาดกระจก ใช้ล้างสเตนเลสได้เป็นครั้งคราว แต่ต้องล้างออกด้วยน้ำเย็นให้หมด
ยาฆ่าเชื้อ
ในบ้านและในอุตสาหกรรม
ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อเจือจาง โดยจำกัดจำนวนครั้งที่ใช้ ต้องล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
สารละลาย
แอลกอฮอล์ และอะเซโทน
สำหรับคราบที่ล้างด้วยสบู่ไม่ออก เช่น สี และคราบมันจากสารอนินทรีย์ จากนั้นล้างด้วยสารละลายแล้วเช็ดออกด้วยสบู่ และล้างออกด้วยน้ำสะอาด
กรดทำความสะอาด
สารละลายทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของฟอสฟอรัสและไนตริก
เป็นวิธีสุดท้ายที่ควรใช้ทำความสะอาดสเตนเลส ล้างออกด้วยน้ำร้อนหลายๆครั้ง โดยใช้ความระมัดระวัง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสำหรับการใช ้ที่ถูกต้องและปลอดภัย
ทำความสะอาดโดย ใช้เครื่องมือ
การยิงผิวหน้า, การขัดผิวหน้า,
การขัดด้วยลวด, การใช้ผงขัด
คราบที่ล้างออกยาก ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเชิงกล ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องปลอดออกไซต์หลัก และระวังไม่ให้เกิดคราบขึ้นอีก การใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้จะทำให้ พื้นผิวสตนเลสมีการเปลี่ยนแปลง

 

วิธีทำความสะอาดสำหรับคราบสกปรกทั่วไป

คราบสกปรก
วิธีการทำความสะอาด
รอยนิ้วมือ
ล้างด้วยสบู่ ผงซักฟอก หรือสารละลาย เช่น แอลกอฮอล์ หรืออาเซโทน ล้างออกด้วยน้ำเย็น และเช็ดให้แห้ง
น้ำมัน คราบน้ำมัน
ล้างด้วยสารละลายไฮโดรคาร์บอน / ออร์กานิก (เช่น แอลกอฮอล์) แล้วล้างออกด้วยสบู่ /ผงซักฟอกอย่างอ่อน และน้ำ ล้างออกด้วยน้ำเย็น และเช็ดให้แห้ง แนะนำให้จุ่มชิ้นงานให้โชกก่อนล้างในน้ำสบู่อุ่น ๆ
สี
ล้างออกด้วยสารละลายสี ใช้แปลงไนล่อนนุ่ม ๆ ขัดออก แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็คให้แห้ง
Carbob Deposit or Bked-on จุ่มลงในน้ำ ใช้สารละลายที่มีแอมโมเนียเป็นส่วนประกอบ ล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็ดให้แห้ง
เปลี่ยนสีเนื่องจากความร้อน ทาครีม (เช่น บรัสโซ) ลงบนแผ่นขัดที่ไม่ได้ทำจากเหล็ก แล้วขัดคราบที่ติดบนสเตนเลสออก ความร้อนขัดไปในทิศทางเดียวกันกับพื้นผิว ล้างออกด้วยน้ำเย็น และเช็ดให้แห้ง
ป้ายและ
สติกเกอร์
จุ่มลงในน้ำอุ่น ๆ ลอกเอาป้ายออกแล้วถูกาวออกด้วยเบนซิน ล้างออกด้วยสบู่และน้ำจากนั้นให้ล้างด้วยน้ำอุ่น เช็คให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ
รอยน้ำ / มะนาว
จุ่มลงในน้ำส้มสายชูเจือจาง (25%) หรือกรดไนตริก (15%) ล้างให้สะอาด ล้างออกด้วยสบู่และน้ำ จากนั้นล่างให้สะอาดด้วนน้ำอุ่น เช็คให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ
คราบชา – กาแฟ
ล้างด้วยโซดาไบคาร์บอเนต ในน้ำ ล้างออกด้วยสบู่และน้ำ จากนั้นล้างให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น เช็คให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ
คราบสนิม
จุ่มในน้ำอุ่นที่มีส่สนผสมสารละลายกรดไนตริก ในอัตราส่วน 9 ต่อ 1 ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด หรือล้างผิวด้วยสารละลายกรดออกชาลิค ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นและเช็คให้แห้งหรือต้องใช้เครื่องมือล้างหากคราบสนิมติดแน่น

ความรู้และเทคนิค

ควรทำ
ไม่ควรทำ
เมื่อไม่ได้มีการทำความสะอาดสเตนเลส อย่างสม่ำเสมอ เมื่อสังเกตเห็นคราบหรือฝุ่นละอองใด ๆ ต้องรีบทำความสะอาดทันที
ไม่ควรเคลือบผิวสเตนเลสด้วยแว็ก หรือวัสดุที่ผสมน้ำมัน เพราะจะทำให้คราบสกปรกหรือฝุ่นละอองติดบนพื้นผิวได้ง่ายขึ้น และล้างทำความสะอาดออกได้ยาก
การทำความสะอาดสเตนเลส ควรเริ่มจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่อ่อนที่สุด โดยเริ่มใช้ในบริเวณเล็ก ๆ ก่อนเพื่อดูว่าเกิดผลกระทบอะไร กับผิวสเตนเลสหรือไม่
ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่มีส่วนประกอบของคลอไรด์และฮาไลด์ เช่น โบรไมน์, ไอโอดีนและผลูออรีน
ใช้น้ำอุ่นล้างคาบความมันออก
ไม่ควรใช้ยาฆ่าเชื้อในการทำความสะอาดชิ้นส่วนสเตนเลส
หมั่นล้างสเตนเลสด้วนน้ำสะอาด เป็นขั้นตอนสุดท้ายเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม หรือกระดาษชำระ
ไม่ควรใช้กรดไฮโดรคลอริก (HCI) ในการทำความสะอาด เพราะอาจก่อให้เกิดการกัดกร่อน แบบรูเข็ม และการแตกเนื่องจากความเครียด (Stress Corrosion Crocking)
เมื่อใช้กรดกัดทำความสะอาดสเตนเลส ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เราไม่แน่ใจ
หลังจากใช้เครื่องครัวที่ทำด้วยสเตนเลส ควรล้างให้สะอาดทุกครั้ง
ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำความสะอาดเครื่องเงิน ในการทำความสะอาดสเตนเลส
หลีกเลี่ยงคราบ/สนิมเหล็ก ที่อาจติดมากับอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่ทำมาจากเหล็ก หรือใช้ทำความสะอาดชิ้นส่วนเหล็กกล้าคาร์บอน
ไม่ควรใช้สบู่ หรือผงซักฟอกมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวสเตนเลสมัวและหมองลง
ในกรณีที่ประสบปัญหาในการทำความสะอาด
สเตนเลสควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ไม่ควรทำความสะอาด และทำพาสซิเวชั่นในขั้นตอนเดียวกัน ควรทำตามขั้นตอน คือ ล้างก่อนแล้วค่อยทำพาสซิเวชั่น

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

ลักษณโดยทั่วไปบองสังกะสี

ลักษณโดยทั่วไปบองสังกะสี

สังกะสีเป็นโลหะสีขาวสีฟ้าที่เข้มออกจากมันสัมผัสกับอากาศ ที่อุณหภูมิห้องมีตาข่ายหกเหลี่ยมขนาดเล็ก (HCP) โลหะบริสุทธิ์มีอุณหภูมิหลอมเหลวต่ำ (419 ° C) สถานที่ใกล้เคียงจุดหลอมละลายของเกล็ดสังกะสีออกไซด์ก่อให้เกิดการเผาไหม้ไฟที่เรียกว่าปรัชญา alchem​​ists ขนสัตว์

maggiore di stagno e piombo, ma minore di quelle di alluminio e di rame. สังกะสีมีความแข็งแรงและความแข็ง ของดีบุกและตะกั่วมากขึ้น แต่น้อยกว่าอลูมิเนียมและทองแดง โลหะบริสุทธิ์มีความต้านทานต่ำถึงคืบสังกะสีเปราะที่อุณหภูมิธรรมดา แต่จะกลายเป็นอ่อนแล้วที่ 100 ° C เพื่อกลับไปประมาณ 200 องศาเซลเซียสเปราะบาง

การออกซิเดชันของธรรมชาติของสังกะสีจะช่วยปกป้องพวกเขาจากการโจมตีในเชิงลึก : ด้วยเหตุนี้จะใช้สำหรับเคลือบป้องกันโลหะชนิดอื่น ๆ มันละลายได้ง่ายในกรดแล้วปล่อยก๊าซไฮโดรเจนและละลายได้ดีในด่างในรูปก๊าซไฮโดรเจนนี้กรณี

ร่องรอยของแคดเมียม, สารหนูตะกั่วและพลวงซึ่งมักจะพบที่ละลายในโลหะที่มีความเป็นพิษเช่นเดียวกับที่จะทำให้สังกะสีที่พบบ่อยมากพอที่เป็นอันตราย บรรจุภัณฑ์ของสังกะสีสามารถใช้สำหรับการดื่มน้ำ แต่ไม่ได้สำหรับอาหารในขณะที่สังกะสีเป็นองค์ประกอบสำคัญในสิ่งมีชีวิตจำนวนมากพืชและสัตว์

การน้ำไปใช้

ประมาณ 35% ของสังกะสีที่ผลิตทั่วโลกจะใช้สำหรับการชุบสังกะสีเหล็ก, 20% จะใช้ในการผลิตจากทองเหลือง, 25% ในที่ของโลหะผสมอื่น ๆ , 10% เป็นแผ่นสังกะสีส่วนที่เหลืออีก 10% เป็น ดูดซึมในการใช้งานที่แตกต่างกัน

สังกะสีมีการผลิตในหลายเกรดขึ้นอยู่กับระดับของความบริสุทธิ์ที่สามารถช่วงจากที่บริสุทธิ์ที่สุด 99.995% ถึง 98% มาตรฐานคุณภาพแตกต่างไปจากประเทศและแตกต่างเฉพาะในรายละเอียดบางอย่าง UNI 6 ให้สังกะสีที่มีคุณภาพ แรกที่สองของความบริสุทธิ์สูงกว่า (จาก 99.995 และ 99.99), มีการใช้สำหรับการเตรียมการของโลหะผสมที่สำคัญที่สุดของซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับการหล่อหรือหล่อตาย

องค์ประกอบที่มักจะมีการผสม Al, Mg, Cu โลหะผสมเหล่านี้ซึ่งละลายที่อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ (ประมาณ 380-480 ° C) มีการไหลที่ดีและการหดตัวต่ำ คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้การควบรวมยังมีความซับซ้อนมาก

สังกะสี 99.99% นอกจากนี้ยังใช้สำหรับการเตรียมการของโลหะผสมที่มีวัตถุประสงค์สำหรับการทำงานเย็น : รีด, โปรไฟล์, แท่งอัด, anodes เกี่ยวกับการบวงสรวง นอกจากนี้ยังใช้ในการผลิตลวดและสีผง

สังกะสี 99.95% เนื่องจากเนื้อหาที่ค่อนข้างสูงของสิ่งสกปรกจะถูกใช้ในการผลิตทองเหลืองบรอนซ์และสังกะสี

สังกะสี 99.9% จะใช้สำหรับการควบรวมกิจการ สุดท้ายคุณภาพของ 98.5% ที่มีช่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของใช้ในการจุ่มชุบสังกะสีร้อน ก่อสร้าง, การใช้สังกะสีม้วนได้ยาวนานพอที่จะทำให้วัสดุที่ไม่ใช่เหล็กสำหรับหลังคาและ cladding ใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น หลังคาลามิเนตสังกะสีการรับประกันยาวนาน

ปัจจุบันเป็นตลาดที่ทำจากโลหะผสมเหล็กแผ่นรีด Zn - Cu - Ti เช่นเดียวกับการประกันความต้านทานแรงอัดสูงมีความต้านทานแรงดึงสูงและการคืบ สังกะสีนอกจากนี้ยังใช้ในองค์ประกอบที่ไม่ใช่โครงสร้าง : ฝน, ฝนตกราง, แผงตกแต่ง
สังกะสีเพื่อป้องกันเหล็ก

ยกเว้นสำหรับภาพวาด, ชุบสังกะสีเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายของการเคลือบป้องกันโลหะผสมเหล็ก

เคลือบสังกะสีคือการป้องกันโลหะผสมธาตุเหล็กต่อผลการกัดกร่อนของออกซิเจนในบรรยากาศและไอน้ำ ก่อนจะช่วยป้องกันการติดต่อทางกายภาพของเหล็กกับอากาศแล้วถ้าเคลือบสังกะสีจะถูกแบ่งขึ้นเพื่อแสดงโลหะผสมเหล็กต้นแบบ, สังกะสีมีค่าน้อยกว่าเหล็กมีเกียรติที่ได้รับการคุ้มครองต่อเนื่องของการเคลือบที่สูญเสีย ลักษณะของอันตรายที่เป็นการดำเนินการเคลือบสังกะสีที่ใช้เวลา anode, ปกป้องเหล็ก (การป้องกันเหล็กจากเหล็ก)

โลหะผสมสังกะสีธาตุเหล็กได้ด้วยเทคนิคที่แตกต่างกัน

จุ่มร้อนชุบสังกะสี;
การฉีดพ่นสารโลหะ
สีที่อุดมไปด้วยสังกะสี;
การป้องกันเหล็ก;
สังกะสีรีดเย็น;
ชุบสังกะสี
sherardizzazione

จุ่มร้อนชุบสังกะสีเป็นที่ใช้มากที่สุด วิธีการอื่น ๆ จะถูกใช้เมื่อสำหรับความต้องการของระบบสำหรับปัญหามิติและโครงสร้างสำหรับต้นทุนการขนส่งมากเกินไปคุณไม่สามารถใช้การจุ่มชุบสังกะสีร้อน
จุ่มชุบสังกะสีร้อน

กระบวนการนี้ซึ่งเป็นบทความเกี่ยวกับเสื้อที่ทำจากเหล็กหล่อหรือเหล็กโดยแช่ในอ่างสังกะสีหลอมเหลวที่เรียกว่าชุบสังกะสี มันเป็นกรณีที่เก่าแก่ที่สุด, ใช้งานง่ายและแพร่หลายของการเคลือบสังกะสีบนเหล็ก จะได้รับการวิวัฒนาการที่ดีในปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางนวัตกรรมในเหล็กชุบสังกะสีเหล็กแผ่นรีดแถบ coninua ระบบอัตโนมัติยังจะมีการจุ่มชุบสังกะสีของท่อเหล็กสำหรับคอนกรีต, เหล็กทั่วไปและสาย

สิ่งประดิษฐ์ก่อนที่จะถูกภายใต้กระบวนการที่ต้องปลอดจากสารพิษตกค้างน้ำมัน, จาระบี, สีและการเชื่อมตะกรันในปัจจุบันเป็นผลมาจากการดำเนินงานก่อนหน้านี้ หลังจาก degreasing, artifacts ที่มีการดองในกรดไฮโดรคลอเจือจางเพื่อให้ออกไซด์ของเหล็กจะถูกแปลงเป็นคลอไรด์เหล็กที่ละลายน้ำได้ บางเหล็กซิลิคอนและเหล็กเป็นเรื่องยากที่จะชุบสังกะสี

ก่อนที่จะมาสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของสังกะสีเหลวผ่านชั้นของเครื่องปรับอากาศซึ่งประกอบด้วยสังกะสีและแอมโมเนียมเกลือสองที่ลอยเหนือสังกะสีเหลว แต่ก็มีฟังก์ชั่นที่สอง : การกำจัดสิ่งเจือปนใด ๆ เกี่ยวกับเหล็ก (คลอไรด์เฟอริกยังคงอยู่เช่นสานุศิษย์หลังจากดอง) และเพื่อป้องกันไม่ให้ออกไซด์สังกะสีหลอมเหลวอยู่ด้านล่าง วิธีนี้พื้นผิวของวัสดุเหล็กพร้อมที่จะใช้ร่วมกับสังกะสีในรูปแบบการเคลือบ 70-120 ไมครอน spesssore ที่ทำจากโลหะผสมที่แตกต่างกัน เหล่านี้แตกต่างกันไปในองค์ประกอบที่พวกเขาย้ายออกไปจากเหล็กกลายเป็นมากขึ้นอุดมไปด้วยสังกะสี โลหะผสมเหล่านี้จะได้รับที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลวของโลหะสังกะสีบริสุทธิ์และดังนั้นจึงอยู่ในวัตถุที่เคลือบไฟฟ้า

จุ่มร้อนชุบสังกะสีให้นอกเหนือไปจากการป้องกันไฟฟ้า, การป้องกันทางกายภาพยัง สารเคลือบปกป้องผิวมีความต้านทานสูงกับการกระทำทางกลและการเสียดสี

อุณหภูมิของน้ำเคลือบสังกะสีที่มีอิทธิพลต่อลักษณะของสิ่งประดิษฐ์และความสำเร็จของขั้นตอนทั้งหมดที่ อุณหภูมิสูงเกินไปโปรดปรานการสะสมของตะกรันและผลในการฝากหยาบและทึบแสง ที่มีอุณหภูมิต่ำเกินไปใบ แต่สิ่งประดิษฐ์สังกะสีหนาไม่สม่ำเสมอ, เปราะบาง, ตรงแยก เวลาการแช่ขึ้นอยู่กับความหนาที่คุณต้องการ

สกัดจากน้ำที่จะต้องปฏิบัติตามเพื่อที่จะอยู่ในการหล่อที่ดีที่สุดของสังกะสีเพื่อที่ว่าพื้นผิวจะเรียบและสม่ำเสมอที่สุดเท่าที่ทำได้ วัตถุกลวงจะต้องมีช่องขนาดใหญ่พอที่จะให้รายการที่ง่ายและทางออกของสังกะสีเหลว
การฉีดพ่นสารโลหะ

metallization คือการโครงการกับเจ็ทอากาศอัดเพื่อปกป้องพื้นผิวโลหะสังกะสีเป็นผงละเอียด, ลวดสังกะสีจากความบริสุทธิ์สูง ปืนพิเศษที่จะมีการใช้สังกะสีจะละลายที่อุณหภูมิสูงใช้ผสมออกซิเจนอะเซทิลีน - การเตรียมพื้นผิวจะต้องระมัดระวังมากที่จะลบร่องรอยของจาระบี, สี, เหล็กออกไซด์ มีเป้าหมายที่จะถึงพื้นผิวด้วยการพ่นทราย มันเป็นสิ่งจำเป็นที่พื้นผิวขรุขระหลังจากขัดก็จะปรากฏในการปรับปรุงการยึดของสังกะสี

ข้อดีของวิธีนี้มีดังนี้

เทคโนโลยีกับอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และง่ายต่อการอ่านเพื่อนำไปใช้ในเว็บไซต์และในการประชุมเชิงปฏิบัติการ;
ความเป็นไปได้ของการรักษาชิ้นส่วนของขนาดใด ๆ
ความร้อนปานกลาง (80-85 ° C max) ส่วนของชิ้นส่วนได้รับการรักษาจึงมี deformations ไม่;
เงินฝากที่มีความหนาตัวแปร

สเปรย์ฉีดสังกะสีที่ทำจากชั้น 4-20 ไมครอนเจ้าฟ้ามหิดลป้องกันการกัดกร่อนสำหรับชีวิตยาว ด้วยเทคนิคนี้คุณสามารถป้องกันสะพานไม้ต่างๆโดยเฉพาะเครื่องไฟฟ้​​าหรือความร้อนโครงสร้างรอย ฯลฯ
ricche in zinco สี อุดมไปด้วยสังกะสี

สีที่มีเนื้อหาสูงของโลหะสังกะสี (ขั้นต่ำ 93% น้ำหนักแห้ง) ให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการป้องกันของเหล็ก พวกเขาดูหมองคล้ำออกแห้งและแข็งในเวลาอันสั้น หลังจากการอบแห้งที่ประกอบด้วยชั้นป้องกันฟิล์มที่เกิดขึ้นจากชั้นแห้งของยานพาหนะท​​ี่มีอนุภาคสังกะสีที่ ในวิธีนี้สี cathodically ป้องกันเหล็กภายใต้ แม้ในกรณีนี้เป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะใช้สีที่ทำให้การทำความสะอาดที่ดีของพื้นผิวของบทความที่จะป้องกันที่
catodica การป้องกัน Cathodic

การป้องกันนี้จะอยู่บนพื้นฐานของความแตกต่างที่มีศักยภาพที่มีอยู่ระหว่างสังกะสีและเหล็กสังกะสีเป็นขั้วลบขั้วบวกและเหล็ก การป้องกันนี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายไฟภายนอกและต้องบำรุงรักษาน้อย
Laminar เย็นชุบสังกะสี

รีดเย็นชุบสังกะสีประกอบด้วยครอบคลุมพื้นผิวที่จะป้องกันโดยการตัดบางของสังกะสีมีความบริสุทธิ์สูงที่มีความหนาของ 80 = 100 ไมครอน เทปที่ติดอยู่กับโครงสร้างโดยใช้กาวที่มีการนำไฟฟ้าสูง วิธีนี้คุณจะได้รับการป้องกัน passive และการใช้งานรวม
ไฟฟ้าสังกะสี

กระบวนการนี​​้คือการได้รับการเคลือบสังกะสีโดยการอิ ห้องอาบน้ำที่ใช้ประกอบด้วยกรดหรือด่างในการแก้ปัญหาเกลือสังกะสี anodes ที่มีสังกะสี (โดยทั่วไป 99.99%) หรือบทความที่ถูกเคลือบ, degreased และดอง, ทำหน้าที่เป็น Cathodes มันสามารถดำเนินการรักษานี้ในงานโลหะแผ่นอย่างต่อเนื่องและเส้นลวด ความหนาของสังกะสีเงินฝากที่มีการเจียมเนื้อเจียมตัวและช่วงระหว่าง 2 และ 20 ไมครอน ได้รับความหนา จำกัด ของพวกเขาไม่ได้มีชีวิตที่ยาวนานในสภาพแวดล้อมกลางแจ้ง
Sherardizzazione

มันเป็นกระบวนการของการแพร่กระจายของสังกะสีในเหล็ก (cementation) กับขั้นตอนนี้สามารถเคลือบด้วยชั้นเครื่องแบบของสิ่งประดิษฐ์ของสังกะสีที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดหลอมเหลวของสังกะสีตัวเอง วัตถุจะอยู่ร่วมกับผงสังกะสี (Zinc สีเทา) ภายในหมุนทรงกระบอกปิดอุ่นนอกไปประมาณ 400 องศาเซลเซียส การดำเนินการระยะเวลาตั้งแต่หนึ่งถึงสิบชั่วโมงขึ้นอยู่กับวัตถุซึ่งโดยปกติจะมีขนาดเล็กในขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไป

คุณจะได้รับ cladding สีเทาประกอบด้วยชั้นของโลหะผสม Fe - Zn ที่มีความหนาเป็นหน้าที่ของเวลาของการรักษา ตาม UNI 5464-69 sherardizzazione คุณมีสามชั้นเรียน : 5-10 มม. ความหนา, 10 ฌ 30 ไมครอนและกว่า 30 ไมครอน สอดคล้องกับความหนาสูงสุดของความต้านทานต่อการกัดกร่อนมากขึ้น การวัดความหนาที่สามารถดำเนินการโดยใช้ micrographic, แม่เหล็ก, หรือสารเคมี

การรักษานี้เหมาะมากสำหรับกลอนเพราะความหนาที่ได้รับเป็นชุดที่ทุกจุดของชิ้น
การเชื่อม

เมื่อผลิตภัณฑ์สังกะสีเชื่อมที่เคลือบสังกะสีระเหยเราจึงจำเป็นต้องประสานเพื่อเรียกคืนชั้นสีที่มีสังกะสี
การกัดกร่อน
in atmosfera การกัดกร่อน ในบรรยากาศ

การโจมตีจะรุนแรงมากที่สุดในบรรยากาศอุตสาหกรรม อัตราการกัดกร่อนลดลงกับเวลาเพราะชั้นของผลิตภัณฑ์การกัดกร่อนที่คุณจะเพิ่มให้การคุ้มครองที่มีให้โดยสังกะสี ในพื้นที่ชนบทที่การกัดกร่อนของเหล็กชุบสังกะสีจะช้ามาก อากาศทะเล แต่อิ่มตัวกับความชื้นที่มีเนื้อหาคลอไรด์สูงมีขึ้นมีผลการกัดกร่อน แม้ทราย, ลมที่ก่อให้เกิดการกัดกร่อนที่มีผลกระทบซึ่งทำให้สีกกร่อน อุตสาหกรรมในพื้นที่ก็มีการก้าวร้าวมากที่สุดต่อการกัดกร่อนได้ดีในบรรยากาศ ซัลเฟอร์ออกไซด์มักจะอยู่ในควันของน้ำมันเชื้อเพลิงเปลี่ยนสังกะสีในซัลเฟตสังกะสีที่ละลายในน้ำ แต่มันต้องจำได้ว่าเหล็กในบรรยากาศที่ประกอบเป็นสารที่เคลือบสังกะสีกัดกร่อนมากกว่าความเร็วที่สูงขึ้น 10 ถึง 20 ครั้ง
in acqua การกัดกร่อน ในน้ำ

dell'acqua stessa. เกี่ยวกับน้ำประปา, การกัดกร่อนได้รับอิทธิพลจากออกซิเจนและ ความกระด้าง ของน้ำ temporanea) si forma Zn(OH)2. ในตอนแรกการแสดงตนของ bicarbonates ในน้ำ ( แข็ง ชั่วคราว) แบบฟอร์มการ Zn (OH) 2 สังกะสีในที่สุดจะกลายเป็นไฮสังกะสีคาร์บอเนตขั้นพื้นฐานที่มีผลการป้องกันที่ดี มันตามที่น้ำจืดมีมากก้าวร้าวมากขึ้นกว่าฮาร์ดดิสก์

ภาพจะแตกต่างกันในกรณีของน้ำร้อนตั้งแต่ไบคาร์บอเนตจะสลายตัวให้แคลเซียมคาร์บอเนตและกรดคาร์บอ กรดคาร์บอและออกซิเจนสามารถนำไปสู่​​การกัดกร่อนอย่างรุนแรงถ้าชั้นเปรอะเปื้อนของภาชนะสังกะสี (หม้อไอน้ำหรือหม้อไอน้ำ) จะร้าว ในทางปฏิบัติปรากฏการณ์ที่พิสูจน์ให้สม่ำเสมอกว่า 60 องศาเซลเซียสขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำ ในกรณีของน้ำก้าวร้าวก็จะแนะนำนอกเหนือจากการชุบสังกะสีภาชนะที่ใช้ประโยชน์จากการเสียสละของ anodes สังกะสีหรือแมกนีเซียม
มาตรการการผจญเพลิงและเหล็กชุบสังกะสี

ถ้าเหล็กชุบสังกะสีถูกไฟไหม้, คุณจะไม่เป็นอันตรายใด ๆ เพราะสังกะสีจะไม่ปล่อยควันพิษ

หากมีเพลิงไหม้ในอาคารที่มีโครงสร้างเหล็กชุบสังกะสี, หรือถ้ามีอยู่แล้วเหล็กชุบสังกะสี, ไฟไหม้ผลกระทบกับโครงสร้างจะเป็นสังกะสีถ้าไม่ได้อยู่ หากเกิดเพลิงไหม้จะรุนแรง, สังกะสีละลายและระเหย เป็นเงื่อนไขในการออกซิไดซ์ไฟ, สังกะสีจะถูกเปลี่ยนทันทีในซิงค์ออกไซด์เป็นผงสีขาวละเอียดที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสูบบุหรี่ทั่วไป